อัตราการว่างงานในปี 2548 ประมาณ 9 % หรือประมาณ 246,400 คน และในปี 2549 มีอัตราการว่างงานประมาณ 8.4 % หรือประมาณ 236,100 คน
จากการมีสถานการณ์สู้รบทางภาคเหนือระหว่างอิสราเอลกับฝ่าย Hizbullah ระหว่างวันที่ 12 กรกฎาคม – 7 สิงหาคม 2549 ทำให้ธุรกิจในภาคเหนือของประเทศอิสราเอลเสียหายกว่า 10 ,000 ราย หรือประมาณ 1/4 ของธุรกิจทั้งหมดในภาคเหนือ ธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งเคยทำรายได้ให้ประเทศถึงปีละ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ตกลงเหลือเพียง 30-40 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้มีการเลิกจ้างลูกจ้างในกิจการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทั่วประเทศหลายพันคน ดังนั้นในปี 2550 ทางการอิสราเอลคาดว่าอัตราการว่างงานในภาคเหนือของประเทศจะสูงถึง 14 % ในขณะที่ภาคอื่นของประเทศจะมีอัตราการว่างงานระหว่าง 8 -11.5 %
กำลังแรงงานอิสราเอลส่วนใหญ่ทำงานด้านการขายและบริการ อุตสาหกรรมการผลิต ก่อสร้างช่างฝีมือ งานวิชาชีพ งานด้านวิชาการ ช่างเทคนิค เสมียนพนักงาน และบริหารจัดการ จากการที่ประเทศอิสราเอลมีอัตราการว่างงานสูง รัฐบาลอิสราเอลจึงพยายามดำเนินการลดจำนวนแรงงานต่างชาติด้วยการกำหนดงานที่อนุญาตให้แรงงานต่างชาติทำ กำหนดโควต้าแรงงานต่างชาติในแต่ละปี เข้มงวดการตรวจจับแรงงานผิดกฎหมาย กำหนดค่าภาษีและค่าธรรมเนียมในการจ้างแรงงานต่างชาติที่สูง เพื่อให้นายจ้างมีค่าใช้จ่ายสูงในการจ้างแรงงานต่างชาติ รวมทั้งกระตุ้นให้มีการจ้างงานชาวอิสราเอลให้มากขึ้น
ณ เดือนมีนาคม 2550 ทางการอิสราเอลคาดว่ามีแรงงานต่างชาติทำงานอยู่ในประเทศอิสราเอล ประมาณ 133,800 คน โดยเป็นแรงงานที่ถูกกฎหมาย 66,800 คน จำแนกเป็น
– ภาคเกษตร 26,000 คน
– ดูแลคนป่วย/พิการ/คนชรา 26,350 คน
– ก่อสร้าง 11,800 คน
– อุตสาหกรรม 1,500 คน
– ร้านอาหาร 1,150 คน
สำหรับแรงงานต่างชาติที่ผิดกฎหมายมีประมาณ 67,000 คน ซึ่งมีทั้งเดินทางเข้าประเทศโดยไม่ถูกต้อง และอยู่เกินวีซ่า ทำงานอยู่ทั่วประเทศอิสราเอล โดยตัวเลขแรงงานต่างชาติที่ผิดกฎหมายนี้ เป็นการประมาณการของกระทรวงอุตสาหกรรม การค้าและแรงงานของอิสราเอล ซึ่งประมาณว่าในแต่ละปีมีจำนวนคนงานต่างชาติที่ผิดกฎหมายทำงานในอิสราเอลในจำนวนที่ใกล้เคียงกับแรงงานต่างชาติที่ถูกต้องตามกฎหมาย แรงงานต่างชาติในประเทศอิสราเอล ประกอบด้วย
1.ฟิลิปปินส์ 24 % ของแรงงานต่างชาติทั้งหมดในประเทศ
2.ไทย 21 %
3.โรมาเนีย 13 %
4.จีน 10%
นอกจากนี้เป็นแรงงานจากชาติอื่น ๆ เช่น ตุรกี จอร์แดน ยูเครน โปแลนด์ บัลกาเรีย มอลโดเวีย และเนปาล
2039